วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

นักบุญยอห์นบอสโก



นักบุญยอห์นบอสโก
แบบอย่างของผู้ยากจนที่ไม่ย่อท้อหรือยอมจำนนความยากจน
พระสงฆ์ที่ดำเนินชีวิตอย่างสมถะ ประหยัด รู้คุณค่าของสิ่งของ
เคร่งครัดต่อตนเองแต่แต่ใจกว้างกับเด็กและเยาวชนผู้ยากจน และคนป่วย




    ยอห์น บอสโก  เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1815 (พ.ศ. 2358) ที่ฟาร์มในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อกัสเตลนูโอโวซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเบ็กกี จังหวัดอัสตี แคว้นปิเอมอนเต ทางภาคเหนือของประเทศอิตาลี เป็นบุตรของนายฟรังซิสและนางมาร์เกรีตา ท่านทั้งสองมีอาชีพเป็นชาวนาที่ขยันหมั่นเพียร มีความอดทนต่อความยากลำบาก ยอห์นมีพี่ชาย 2 คน คนโตเป็นพี่ชายต่างมารดา ชื่ออันโตนิโอ และพี่ชายคนรองชื่อ โยเซฟ คุณพ่อบอสโกเกิดในครอบครัวที่ยากจน แต่เป็นครอบครัวที่ซื่อสัตย์สุจริตมีศีลธรรม มีความเชื่อศรัทธาและเคร่งครัดในศาสนา  เมื่ออายุได้สองขวบ ฟรันเชสโก ผู้บิดาได้เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม แต่ มารดาของท่านได้ดูแลเอาใจใส่อบรมสั่งสอน ฝึกฝนให้เป็นเด็กที่เข้มแข็งอดทน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักความจริงและยึดมั่นในความยุติธรรม อีกทั้งสอนให้มีใจเมตตาต่อคนยากจน


ชีวิตในวัยเด็ก ยอห์นมีหน้าที่เลี้ยงวัว เขาจะนำหน้าพวกมันด้วยความสุข พลางร้องเพลงสรรเสริญแม่พระ เหมือนที่แม่มาร์การีตาได้สอนไว้ ความเงียบของพื้นนาทำให้เขาคิดถึงพระเจ้า และแม่พระได้ตลอดวัน และสิ่งนี้ช่วยให้เขารักแม่พระและรักการสวดภาวนามาก  




วันหนึ่ง ยอห์นได้ฝันว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในทุ่งหญ้าใกล้ๆ บ้าน ที่นั่นมีเด็กจำนวนมากวิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน แต่บางคนด่ากันด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย ยอห์นทนฟังคำด่านั้นไม่ได้ จึงได้เข้าห้ามปรามและชกต่อยพวกเด็กเหล่านั้นอย่างฉุนเฉียว ทันใดนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฏมา เรียกเขาเข้าไปหา และกล่าวกับเขาว่า เขาจะชนะใจเด็กเหล่านั้นได้โดยอาศัยความรัก และความอ่อนหวาน ไม่ใช่ด้วยการใช้กำลัง ยอห์นจึงถามบุรุษผู้นั้นว่า “ท่านเป็นใคร จึงมาสั่งให้เขาทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” บุรุษผู้นั้นตอบว่า เราเป็นบุตรของผู้ที่แม่ของเธอได้สอนให้สวดวันละสามครั้ง” ทันใดนั้น ยอห์นได้เห็นสุภาพสตรีผู้หนึ่งปรากฏมา แต่งกายด้วยชุดขาว สตรีผู้นั้นจับมือเขาด้วย พลางกล่าวว่า มองดูเด็กเหล่านั้นซิ ยอห์นจึงมองไปที่เด็ก ๆ เหล่านั้น แต่แทนที่จะเป็นเด็ก ๆ เขากลับเห็นมีแต่แพะ สุนัข แมว หมี และสัตว์ต่างๆ อยู่จำนวนมากมาย สุภาพสตรีผู้นั้นจึงกล่าวต่อไปว่า นี่แหละเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องทำ เธอจงทำตนให้เป็นคนสุภาพ เข้มแข็งและอดทน สิ่งที่เธอเห็นเป็นสัตว์เหล่านี้ เธอจะต้องดูแลเขาให้ดี ยอห์นหันกลับไปมองอีกครั้ง และพบว่าสัตว์ดุร้ายเหล่านั้นได้กลายเป็นลูกแกะที่เชื่องและน่ารักหมดแล้ว เมื่อยอห์นเห็นภาพเช่นนั้นเขาไม่เข้าใจอะไรเลยจึงเริ่มร้องไห้และอ้อนวอนขอร้องให้สุภาพสตรีผู้นั้นกรุณาอธิบายความหมายให้ฟัง สุภาพสตรีจึงวางมือลงบนศีรษะของท่านและกล่าวว่า เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว เธอจะเข้าใจทุกอย่างเองเช้าวันรุ่งขึ้นยอห์นได้เล่าความฝันนี้ให้คนในบ้านฟัง โยเซฟได้กล่าวว่า ความฝันนี้หมายถึง ยอห์นจะได้เป็นคนเลี้ยงแกะในภายภาคหน้า แต่อันโตนิโอกลับกล่าวขึ้นมาว่า “ขออย่างเดียวอย่าให้กลายเป็นไอ้มหาโจรก็แล้วกัน” แต่นางมาร์เกรีตากล่าวแก่ยอห์นว่า “ใครจะไปรู้ในภายหน้าหนูอาจได้บวชเป็นพระสงฆ์ก็ได้





ยอห์นมีความปรารถนาที่จะได้เรียนหนังสืออย่างมาก แต่ก็มีอุปสรรคหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนได้ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน หมู่บ้านที่ยอห์นอาศัยอยู่นั้นก็ไม่มีโรงเรียน และโรงเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างจากตำบลเบกกีหลายสิบกิโลเมตร แต่ก็โชคดีมีชาวนาใจดีคนหนึ่งช่วยสอนเขาระหว่างที่ปล่อยวัวกินหญ้าตามทุ่งนา เมื่อมีเวลาว่างเขามักจะหยิบหนังสือมาอ่านเสมอ แต่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือ อันโตนิโอที่ไม่พอใจที่ยอห์นไปเรียนหนังสือ นางมาร์เกรีตาจึงตัดสินใจให้ยอห์นออกจากบ้านเพื่อไปเป็นลูกจ้างชาวนาคนหนึ่งเพื่อเขาจะได้อยู่ห่างจากพี่ชายและจะได้เรียนหนังสือ กว่าจะจบชั้นมัธยมได้ เขาต้องบากบั่นมุมานะอย่างมาก เมื่อว่างเว้นจากการเรียน ก็ไปรับจ้างโรงงานหลายแห่ง แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสของชีวิต ได้ฝึกฝนตนเองเป็นช่างไม้ ช่างตัดเสื้อ ช่างตีเหล็ก ช่างเย็บรองเท้า ทำขนมปัง ฯลฯ เวลาเดินทางไปเรียนเขาจะถอดรองเท้า และเดินเท้าเปล่าเพราะกลัวว่ารองเท้าจะชำรุด เมื่อเข้าเรียนจึงจะสวมรองเท้า เขาต้องทำงานเสริฟอาหาร ล้างจานชาม ปัดกวาดเช็ดถูในร้านอาหารเพื่อแลกอาหารของแต่ละวั และต้องไปขออาศัยห้องใต้บันไดของคนใจดีคนหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่พักนอนในช่วงที่เรียนหนังสือ อาศัยแสงเทียนในการอ่านหนังสือแต่ละคืน วันไหนที่เดือนหงายก็จะอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์ในการอ่านหนังสือ และยังต้องหาเวลาเข้าไปช่วยงานในโรงพิมพ์เพื่อแลกกระดาษมาทำการบ้านส่งครู และขอหนังสือพิมพ์และหนังสือเก่า ๆ มาเป็นหนังสืออ่านเสริมความรู้ ความยากจนทำให้เขาประหยัด อดทน สู้งานทุกชนิด ชีวิตที่ลำบากช่วยทำให้เขาเข้มแข็งสามารถเอาชนะอุปสรรคได้ นอกจากนี้เขายังหัดเป่าเม้าส์ออร์แกน สีไวโอลิน ฝึกเล่นมายากลและการแสดงกายกรรมด้วย จนสามารถเล่าเรียนจนจบหลักสูตร 











เมื่ออายุได้ 20 ปี ด้วยความมั่นใจในเสียงเรียกของพระเจ้า ยอห์นจึงได้เข้าเรียนต่อในสามเณราลัยที่กิเอรี เพื่อศึกษาและเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์อย่างเข้มข้น และหลังจากนั้น 6 ปี สามเณรยอห์นบอสโกก็ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ที่กรุงตุริน ในวันที่ 5 มิถุนายนปี ค.ศ.1841
ในช่วงเวลานั้น เมืองตุรินเต็มไปด้วยแรงงานอพยพซึ่งส่วนมากเป็นเยาวชน คุณพ่อบอสโกได้เห็นพวกเขามีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของอบายมุขต่างๆ อีกทั้งคุณพ่อได้มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมนักโทษตามเรือนจำ ทำให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนเหล่านี้ติดคุกเพราะไม่มีคนเอาใจใส่อบรมพวกเขา หากว่าพวกเขาได้รับความรักและการอบรมแล้ว พวกเขาคงมีชีวิตที่ดีขึ้นและไม่เป็นภาระให้กับสังคมด้วย และเมื่อหวนกลับไปคิดถึงความเจ็บปวดที่ท่านต้องกำพร้า ท่านจึงเข้าใจสภาพจิตใจของเด็กที่ตกอยู่ในสภาพไร้บ้าน เด็กกำพร้า เด็กยากจนได้ดี
ดังนั้น คุณพ่อบอสโกจึงรวบรวมเด็กและเยาวชนที่ยากจนให้เข้ามาอยู่รวมกันเพื่ออบรมสั่งสอนพวกเขาด้านศีลธรรมควบคู่ไปกับวิชาความรู้ สอนให้เจริญชีวิตแบบคริสตชนที่ดี มีความศรัทธาต่อแม่พระ โดยมุ่งสกัดกั้นและป้องกันพวกเขาจากความชั่วอาศัยความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่าเริงยินดี  และด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือและอบรมเยาวชน คุณพ่อบอสโกจึงได้ตัดสินใจเช่าสถานที่เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มากินอยู่และเล่าเรียนซึ่งต่อมาท่านก็ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลผู้มีน้ำใจดี ทำให้คุณพ่อบอสโกสามารถซื้อสถานที่และเปิด“ศูนย์เยาวชน” แห่งแรกที่วัลด๊อกโกได้  คุณพ่อบอสโกเริ่มจัดตั้งโรงเรียนภาคค่ำ เพื่อสอนอาชีพให้เยาวชนของท่าน ซึ่งทักษะต่างๆ ที่คุณพ่อบอสโกได้ฝึกฝนตนเองทั้งการเป็นช่างและการเล่นดนตรี กลับเป็นสิ่งช่วยคุณพ่อได้อย่างมาก คุณพ่อบอสโกได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มานั้นสอนเยาวชนเพื่อให้พวกเขามีวิชาชีพติดตัวและจัดการหางานให้พวกเขาอีกด้วย





เพื่อให้งานดูแลเยาวชนท่านริเริ่มแล้วนี้มีผู้สานต่อ ท่านจึงได้ทาบทามเยาวชนจำนวนหนึ่งที่เห็นว่ามีความเสียสละทุ่มเทและมีอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อเด็กและเยาวชน และมีความประสงค์จะอุทิศตนทั้งชีวิตเพื่อมาสานต่องานของท่าน คุณพ่อบอสโกได้ขออนุมัติจากสันตะสำนักเพื่อจัดตั้งคณะนักบวชขึ้นโดยได้มอบไว้ในความคุ้มครองของนักบุญ ฟรังซิส เดอ ซาล อันเป็นที่มาของชื่อ ซาเลเซียน ในเวลานั้นไม่ใช่มีเฉพาะเยาวชนชายเท่านั้นที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณพ่อบอสโก ดังนั้นอาศัยความร่วมมือของซิสเตอร์ มารีอา โดเมนิกา มัซซาเรลโล เพื่อจัดตั้งคณะนักบวชหญิงขึ้น คือคณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ เพื่ออบรมเยาวชนหญิงตามจิตตารมย์ของคณะซาเลเซียนเช่นกัน



คุณพ่อบอสโก ดำเนินชีวิตอย่างสมถะมาก ในห้องส่วนตัวของท่านไม่มีอะไรที่ไม่จำเป็น ไม่มีอะไรที่ฟุ่มเฟือย ท่านใช้เงินและสิ่งของอย่างประหยัด ใช้เสื้อผ้ารองเท้าจนเก่าและขาด คุณพ่อจะถนอมเครื่องใช้ไม้สอยของโรงเรียนและของส่วนตัวอย่างมาก เมื่อเดินเจอกระดุมหรือตะปูท่านจะก้มเก็บเพราะคิดว่าบางทีภายหน้าอาจจำเป็นต้องใช้ ท่านเคร่งครัดกับตนเองแต่ใจกว้างกับคนยากจน ท่านรับเด็กยากจนเข้ามาอยู่ในบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดใด และท่านยังยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อช่วยรักษาคนป่วย ยอมซื้อเครื่องจักรที่ทันสมัยเพื่อใช้ในโรงเรียนของท่าน เพื่อให้เยาวชนของท่านได้ใช้ฝึกทักษะในการสร้างอาชีพ

เนื่องจากคุณพ่อบอสโกได้อุทิศตนทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตของท่าน ทำให้สุขภาพของท่านทรุดลงเหมือนเสื้อผ้าที่ถูกใช้ทุกวันจนเปื่อยยุ่ยและไม่สามารถปะชุนได้แล้ว ที่สุด ท่านได้สิ้นใจที่เมืองตุรินเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1888 รวมอายุได้ 72 ปี และได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1934 โดยพระสันตะปาปา ปีโอที่ 6

พี่น้องคริสตชนที่รัก คุณพ่อบอสโกเป็นแบบอย่างให้เราสู้ชีวิต ความยากจนขัดสนไม่ทำให้ท่านท้อแท้หรือสิ้นหวัง แต่กลับทำให้ท่านเรียนรู้ที่จะทำงานด้วยความขยัน อดทน ท่านเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตอย่างประหยัด สมถะ ศรัทธา ท่านเป็นพระสงฆ์ที่เอาใจใส่ในการอบรมเด็กและเยาวชนด้วยความรักและความเข้าใจ และนำพวกเขาออกของชีวิตที่มืดมนสู่ชีวิตที่ดีกว่า..





เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก เราเองต้องไม่ย่อท้อต่อความยากจน และอุปสรรคในชีวิต รู้จักทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร ประหยัด มีน้อยใช้น้อย ไม่ใช้สิ่งของอย่างฟุ่มเฟือยและใช้อย่างรู้คุณค่า และสิ่งที่สำคัญพี่น้องที่รัก เราจำเป็นต้องเอาใจใส่อบรมเด็กและเยาวชนของเราด้วยความรักและความเข้าใจ ช่วยเหลือเขาให้มีชีวิตที่ดีและปลอดภัยจากบาปและความประพฤติไม่ดีต่างๆ  ดังเช่นแบบอย่างชีวิตของท่านนักบุญยอห์นบอสโก บิดาและอาจารย์ที่รักของเด็กและเยาวชน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น