คำสอนเรื่อง พระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล
ชีวิตของพระนางมารีย์เป็นที่โปรดปราน
จึงได้รับการอารักขาให้พ้นจากโทษของบาปกำเนิด
ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่มีเพียงพระนางเท่านั้นที่ได้รับ
พระนางเป็นผู้ที่ปฏิสนธินิรมล คือ เกิดมาไม่มีบาปกำเนิดติดตัวมา ซึ่งพระสันตะปาปา
ปิโอ ที่ 9 ได้ประกาศมาในปี ค.ศ. 1854 “ชั่วขณะแรกแห่งการปฏิสนธิของพระนางพรหมจารีมารีย์
อาศัยพระหรรษทานและการโปรดปรานเป็นพิเศษจากพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ
และเดชะพระบารมีข องพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ช่วยมนุษยชาติให้รอด
พระนางได้รับการพิทักษ์รักษาไว้ให้พ้นจากมลทินทุกประการแห่งบาปกำเนิด”(DS 2803)(คำสอนฯข้อ 491)
พระนางมารีย์มิได้ทรงเกิดมาโดยปราศจากผลร้ายของบาปกำเนิดเท่านั้น
แต่ชีวิตทั้งชีวิตของพระนางนั้นก็ปราศจากบาปเช่นกัน
ตั้งแต่พระนางตอบรับการเป็นพระมารดาของพระผู้ไถ่(พระเยซู) พระนางได้มอบกายถวายชีวิตรับใช้แผนการแห่งการไถ่บาปของพระเจ้าด้วยความนบนอบเชื่อฟัง
“ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
ขอเป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”(ลูกา 1:37-38) นักบุญอีเรเนอุสกล่าวถึงพระนางมารีย์ว่า “โดยการนอบน้อมเชื่อฟัง พระนางมารีย์ก็ได้กลายเป็นเหตุแห่งความรอด
สำหรับตนเองและมนุษยชาติทั้งมวล...ปมที่เกิดจากการดื้อดึงของเอวาก็ได้คลายออกด้วยความนบนอบของพระนางมารีย์
สิ่งที่เอวาได้ผูกไว้เพราะความไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า
พรหมจากรีมารีย์ก็ได้แก้ออกด้วยความเชื่อของตน”(คำสอนฯข้อ 494)
“ในเชื้อสายของเอวา พระเจ้าได้ทรงเลือกพระนางพรหมจารีมารีย์
เพื่อให้เป็นพระมารดาแห่งพระบุตรของพระองค์ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระนางคือ
ผลอันเลิศเลอของการไถกู้ นับแต่วาระแรกแห่งการปฏิสนธิ
พระนางได้รับการรักษาไวให้พ้นจากรอยมลทินแห่งบาปกำเนิดโดยสิ้นเชิง และยังคงบริสุทธิ์ปราศจากบาปส่วนพระองค์ทุกประการไปตลอดชีวิตของพระนาง”(คำสอนฯข้อ 508)
ด้วยชีวิตที่งดงามและบริสุทธิ์
ปราศจากทั้งบาปกำเนิดและบาปส่วนตัว และการรับใช้พระเจ้าด้วยความนบนอบเชื่อฟัง
จึงทำให้พระนางมารีย์การได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
ซึ่งการเฉลิมฉลองนี้ยังเป็นหลักประกันว่าเราทุกคนจะได้รับการกลับคืนชีพและได้ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์เช่นเดียวกับพระนางด้วย “ในที่สุด พระนางพรหมจารีมารีย์
ผู้ได้รับการอารักขาโดยพระเจ้าให้พ้นจากโทษบาปกำเนิด
และเมื่อได้ดำเนินชีวิตอยู่บนแผ่นดินจนครบบริบูรณ์แล้ว
ก็ได้รับการยกขึ้นสู่โรจนาการแห่งสรวงสวรรค์ ทั้งกายและวิญญาณ
และได้รับการเชิดชูอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้นกับพระบุตรของพระนาง
ผู้เป็นเจ้าแห่งเจ้านายทั้งหลาย ผู้พิชิตบาปและความตาย
การได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของพระนางพรหมจารีมารีย์ เป็นการมีส่วนอย่างพิเศษสุดในการกลับคืนชีพขององค์พระบุตร
และเป็นการคาดหมายล่วงหน้าถึงการกลับคืนชีพของคริสตชนคนอื่นๆด้วย” (คำสอนฯข้อ 966)
แบร์นาแด๊ตบอกว่า "เห็นหญิงสาวขาว (ทั้งตัว) คนหนึ่ง เธอก้มศีรษะเล็กน้อยทักทายฉัน แบมือเหมือนแม่พระในรูปทั่วไป
ที่แขนขวามีลูกประคำห้อยอยู่ สตรีนั้นสวมเสื้อขาวยาวลงมาปกคลุมเท้า เสื้อนั้นมีที่รูดปิดคอ และมีปลายเชือกสีขาวห้อยอยู่
ผ้าสีขาวที่คลุมศีรษะนั้น ปกบ่าและแขน ฉันเห็นดอกกุหลาบสีเหลือง 2 ดอก บนเท้าทั้งสองของเธอ รัดประคดของเสื้อสีฟ้า ห้อยต่ำลงมาเลยหัวเข่า ส่วนลูกประคำนั้นสายสีเหลือง
เม็ดสีขาวขนาดโต และห่างกัน หญิงสาวผู้นั้นท่าทางว่องไว มีแสงอยู่รอบข้าง " เมื่อฉันสวดลูกประคำจบ เธอก็ยิ้มลาฉัน
แล้วถอยหลังหายวับเข้าไปในโพรง…"
การประจักษ์ครั้งที่
2 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันอาทิตย์ เมื่อเลิกพิธีมิสซาเวลา 13.00 น. แล้ว เพื่อนๆ ของแบร์นาแด๊ตติดตามเธอไปถึงบ้าน อ้อนวอนมารดาขออนุญาตให้แบร์นาแด๊ตไปที่ถ้ำมัสซาเบียลอีก… เมื่อมาถึงแล้วแบร์นาแด๊ตให้ทุกคนคุกเข่าลงสวดลูกประคำ สักครู่หนึ่งเธอก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า "แน่ะ
มาแล้วมีแสงสว่าง" เพื่อนๆ
ยื่นขวดน้ำเสกให้เธอพลางพูดเสียงสั่นๆ ว่า "เร็ว! สาดน้ำเสกซี" แบร์นาแด๊ตหันมาพูดกับเพื่อนๆ ว่า "เธอไม่ยักโกรธ
กลับก้มศีรษะรับ และยิ้มให้พวกเรา"
การประจักษ์ครั้งที่
3 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระบอกกับแบร์นาแด๊ตว่า "หนูจะกรุณามาที่นี่สัก 15 วัน จะได้ไหมคะ?" "ได้ค่ะ หนูขอสัญญา ถ้าคุณพ่อคุณแม่อนุญาต"
แล้วสตรีงามพูดต่อไปว่า "ฉันไม่รับรองว่าหนูจะมีความสุขในโลกนี้
แต่โลกหน้า แน่นอน" แล้วสตรีผู้นั้นลอยขึ้นสูงหน่อย
แล้วหายไป
การประจักษ์ครั้งที่
4 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ แม่พระขอบคุณแบร์นาแด๊ตที่มาพบอีก แล้วบอกว่า
มีความลับจะบอกในภายหน้า
การประจักษ์ครั้งที่ 5 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระสอนแบร์นาแด๊ตให้สวดภาวนาบทหนึ่ง ทีละคำๆ
บทภาวนานั้นสำหรับเธอสวดคนเดียวตลอดชีวิต และเธอก็สวดบทนั้นทุกครั้งที่แม่พระประจักษ์มา
มีผู้พยายามใช้กลอุบายต่างๆ หลอกถามเธอ แต่เธอมิได้บอกใครเลยจนตลอดชีวิต
การประจักษ์ครั้งที่
6 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1858 มีผู้คนมารอดูมากมาย แบร์นาแด๊ตมาตามเวลากำหนดกับมารดาและน้า ดร. โดชูส แพทย์ประจำตำบลลูร์ดร่วมอยู่ด้วย
เขามาเพื่อจะคอยจับผิด มากกว่ามาด้วยใจศรัทธาเลื่อมใส แม่พระบอกแบร์นาแด๊ตว่า
"หนูจงสวดให้คนบาปที่น่าสงสาร สวดให้โลกที่กำลังยุ่งยากอลวนอยู่"
การประจักษ์ครั้งที่
7 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1858 การประจักษ์ครั้งนี้กินเวลาครึ่งชั่วโมง แม่พระบอกความลับกับเธอ 3 ข้อ ซึ่ง เธอจะบอกกับใครมิได้เลย
และเธอก็ได้รักษาความลับนั้นไว้ตลอดชีวิต
การประจักษ์ครั้งที่
8 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1858 ผู้ที่อยู่ใกล้เธอขณะที่กำลังเข้าฌาน
ได้ยินเสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากที่สั่นระริกว่า "ใช้โทษบาป! ใช้โทษบาป! ใช้โทษบาป!"
การประจักษ์ครั้งที่
9 วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระบอกแบร์นาแด๊ตให้ไปดื่มน้ำและล้างหน้าที่น้ำพุ
แบร์นาแด๊ตคุ้ยดินขึ้น มีน้ำขึ้นมาแต่ขุ่น
น้ำไหลขึ้นมามากทุกที (ปัจจุบันกลายเป็นน้ำพุที่ไม่ขาดสายและสวยงามมาก)
การประจักษ์ครั้งที่
10 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระสั่งแบร์นาแด๊ตให้ไปบอกพระสงฆ์ให้สร้างวัดเล็กๆ
ที่นี่หลังหนึ่ง
การประจักษ์ครั้งที่
11 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1858 แบร์นาแด๊ตถามชื่อของสตรีงาม แต่แม่พระเพียงแต่ยิ้มๆ เท่านั้น
ไม่ตอบว่ากระไร
การประจักษ์ครั้งที่
12 วันที่ 1 มีนาคม 1858 ตั้งแต่ 7.00 น.
บิดามารดาของเธอก็ไปพร้อมกันด้วย แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตใช้เฉพาะลูกประคำของตน
การประจักษ์ครั้งที่
13 วันที่ 2 มีนาคม 1858 แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตไปหาคุณพ่อเจ้าวัด บอกกับท่านว่า
"อยากให้ผู้คนตั้งขบวนแห่มาที่ถ้ำ" แต่คุณพ่อเจ้าวัดกำลังหัวเสีย ตอบว่า "ดีแล้ว
ถ้าเธอ (สตรีงาม) ไม่ยอมบอกชื่อ เจ้าก็เป็นคนโกหก…"
การประจักษ์ครั้งที่
14 วันที่ 3 มีนาคม 1858 แม่พระย้ำเรื่องการสร้างวัด
แบร์นาแด๊ตบอกว่าคุณพ่อเจ้าวัดต้องการให้พิสูจน์ว่า ถ้าเป็นแม่พระจริง
ขอให้ทำอัศจรรย์ให้ต้นกุหลาบป่าที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ นั้น ออกดอก… แม่พระเพียงแต่ยิ้ม…เป็นการสอนชาวเราว่า มหัศจรรย์นั้น
พระเป็นเจ้าจะทรงกระทำตามที่ทรงเห็นสมควรเท่านั้น มิใช่ทำตามคำท้าทายของใครๆ
การประจักษ์ครั้งที่
15 วันที่ 14 มีนาคม 1858 เช้าวันนั้นมีผู้คนมาประมาณ 8,000 คน แต่สิบตำรวจอังกลาขี่ม้าตรวจการณ์คะเนว่า คงมีอย่างน้อยสัก 20,000 คน…วันนั้นหลังจากประจักษ์แล้วแบร์นาแด๊ตกลับไปเตือนคุณพ่อเจ้าวัดถึงเรื่องที่สตรีงามบอก แต่คุณพ่อเจ้าวัดย้ำว่า
"ให้สตรีงามของเจ้าบอกชื่อมาซิ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นแม่พระ ฉันจะทำทุกอย่างที่แม่พระต้องการ"
การประจักษ์ครั้งที่
16 วันที่ 25 มีนาคม 1858 การประจักษ์ครั้งนี้สำคัญมาก
แบร์นาแด๊ตวิงวอนให้สตรีงามนั้นบอกชื่อของตน "คุณขา กรุณาบอกหนูหน่อยเถอะค่ะ คุณคือใคร?" …ต่อคำถามอันพากเพียรและเต็มไปด้วยความไว้วางใจเช่นนี้เป็นครั้งที่ 3 สตรีผู้นั้น ซึ่งเคยพนมมืออยู่เสมอ บัดนี้ค่อยๆ
กางแขนออก แบมือปล่อยแขนต่ำลงมาทั้ง 2 ข้าง (แบบแม่พระในเหรียญมหัศจรรย์)
พลางกล่าวเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวลูร์ดว่า "ฉันคือการปฏิสนธินิรมล" พลางยิ้มให้แบร์นาแด๊ตอีกครั้งหนึ่ง แล้วหายไปทั้งๆ
ที่ยังยิ้มอยู่..แบร์นาแด๊ตกลับไปหาคุณพ่อเจ้าวัดกล่าวว่า "สตรีผู้นั้นพึ่งบอกหนูว่า ฉันคือการปฏิสนธินิรมล"
คุณพ่อเจ้าวัดถามต่อไปว่า "แล้วเจ้ารู้ไหมว่า แปลว่าอะไร?"
"หนูไม่ทราบค่ะคุณพ่อ" หนูท่องมาตลอดทางตั้งแต่ถ้ำมาถึงที่นี่ ว่า
"ฉันคือการปฏิสนธินิรมล"
การประจักษ์ครั้งที่
17 วันที่ 7 เมษายน 1858 แม่พระยิ้มอย่างอ่อนหวานกับเธอภายในโพรงที่ตั้งรูปแม่พระ
เธอได้เห็นภาพประจักษ์เช่นนั้นนานประมาณ 45 นาที
การประจักษ์ครั้งที่
18 หรือครั้งสุดท้าย วันที่ 16 กรกฎาคม 1858 แม่พระทรงประจักษ์มานานประมาณ 15 นาที แบร์นาแด๊ตเล่าให้ฟังว่า "แม่พระประจักษ์มาให้เห็น ณ ที่เดิม โดยไม่พูดอะไร…หนูไม่เคยเห็นเธองามเหมือนวันนั้นเลย"
หลังจากนั้นแบร์นาแด๊ตก็มิได้พบแม่พระอีก..พระศาสนจักรเริ่มดำเนินการสอบสวนจนกระทั่ง 18 มกราคม 1862 พระสังฆราชแห่งลูร์ดได้ประกาศเป็นทางการรับรองว่า
เป็นแม่พระจริงที่ได้ประจักษ์มาที่ถ้ำมัสซาเบียล แล้วลงมือสร้างพระวิหารขึ้นจนสำเร็จ
ส่วนแบร์นาแด๊ตได้ตัดสินใจเข้าบวชเป็นนางชีที่เนอแวร์ส เดือนกรกฎาคม ปี 1866 เธอพยายามทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
และที่สุดได้มอบดวงวิญญาณบริสุทธิ์คืนแด่พระ ณ วันที่ 6 เมษายน 1879 ขณะอายุ 39 ปีเศษ
ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ทรงประกาศชื่อแบร์นาแด๊ต ซูบิรูส์ ในสารบบนักบุญ วันที่ 8 ธันวาคม 1933