วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561

คำสอนเรื่อง พระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล


    คำสอนเรื่อง  พระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล



           ชีวิตของพระนางมารีย์เป็นที่โปรดปราน จึงได้รับการอารักขาให้พ้นจากโทษของบาปกำเนิด ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่มีเพียงพระนางเท่านั้นที่ได้รับ พระนางเป็นผู้ที่ปฏิสนธินิรมล คือ เกิดมาไม่มีบาปกำเนิดติดตัวมา ซึ่งพระสันตะปาปา ปิโอ ที่ 9 ได้ประกาศมาในปี ค.ศ. 1854 ชั่วขณะแรกแห่งการปฏิสนธิของพระนางพรหมจารีมารีย์ อาศัยพระหรรษทานและการโปรดปรานเป็นพิเศษจากพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ และเดชะพระบารมีข องพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ช่วยมนุษยชาติให้รอด พระนางได้รับการพิทักษ์รักษาไว้ให้พ้นจากมลทินทุกประการแห่งบาปกำเนิด”(DS 2803)(คำสอนฯข้อ 491)

   พระนางมารีย์มิได้ทรงเกิดมาโดยปราศจากผลร้ายของบาปกำเนิดเท่านั้น แต่ชีวิตทั้งชีวิตของพระนางนั้นก็ปราศจากบาปเช่นกัน ตั้งแต่พระนางตอบรับการเป็นพระมารดาของพระผู้ไถ่(พระเยซู) พระนางได้มอบกายถวายชีวิตรับใช้แผนการแห่งการไถ่บาปของพระเจ้าด้วยความนบนอบเชื่อฟัง ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอเป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”(ลูกา 1:37-38) นักบุญอีเรเนอุสกล่าวถึงพระนางมารีย์ว่า โดยการนอบน้อมเชื่อฟัง พระนางมารีย์ก็ได้กลายเป็นเหตุแห่งความรอด สำหรับตนเองและมนุษยชาติทั้งมวล...ปมที่เกิดจากการดื้อดึงของเอวาก็ได้คลายออกด้วยความนบนอบของพระนางมารีย์ สิ่งที่เอวาได้ผูกไว้เพราะความไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า พรหมจากรีมารีย์ก็ได้แก้ออกด้วยความเชื่อของตน”(คำสอนฯข้อ 494)        

   ในเชื้อสายของเอวา พระเจ้าได้ทรงเลือกพระนางพรหมจารีมารีย์ เพื่อให้เป็นพระมารดาแห่งพระบุตรของพระองค์ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระนางคือ ผลอันเลิศเลอของการไถกู้ นับแต่วาระแรกแห่งการปฏิสนธิ พระนางได้รับการรักษาไวให้พ้นจากรอยมลทินแห่งบาปกำเนิดโดยสิ้นเชิง และยังคงบริสุทธิ์ปราศจากบาปส่วนพระองค์ทุกประการไปตลอดชีวิตของพระนาง”(คำสอนฯข้อ 508)               

          ด้วยชีวิตที่งดงามและบริสุทธิ์ ปราศจากทั้งบาปกำเนิดและบาปส่วนตัว และการรับใช้พระเจ้าด้วยความนบนอบเชื่อฟัง จึงทำให้พระนางมารีย์การได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ซึ่งการเฉลิมฉลองนี้ยังเป็นหลักประกันว่าเราทุกคนจะได้รับการกลับคืนชีพและได้ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์เช่นเดียวกับพระนางด้วย ในที่สุด พระนางพรหมจารีมารีย์ ผู้ได้รับการอารักขาโดยพระเจ้าให้พ้นจากโทษบาปกำเนิด และเมื่อได้ดำเนินชีวิตอยู่บนแผ่นดินจนครบบริบูรณ์แล้ว ก็ได้รับการยกขึ้นสู่โรจนาการแห่งสรวงสวรรค์ ทั้งกายและวิญญาณ และได้รับการเชิดชูอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้นกับพระบุตรของพระนาง ผู้เป็นเจ้าแห่งเจ้านายทั้งหลาย ผู้พิชิตบาปและความตาย การได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของพระนางพรหมจารีมารีย์ เป็นการมีส่วนอย่างพิเศษสุดในการกลับคืนชีพขององค์พระบุตร และเป็นการคาดหมายล่วงหน้าถึงการกลับคืนชีพของคริสตชนคนอื่นๆด้วย (คำสอนฯข้อ 966)


    


เหตุการณ์ยืนยันในข้อความเชื่อเรื่องนี้คือ ค.ศ.1858 แม่พระทรงประจักษ์ที่ ลูร์ด  ในปี 1858 ครอบครัวของแบร์นาแด๊ตกำลังตกอับยากจน จนกระทั่งไม่มีที่อยู่ ต้องไปอาศัยอยู่ชั้นล่างของบ้านนายอังเดรซายูส ผู้เป็นญาติ บิดาของแบร์นาแด๊ต ชื่อ ฟรังซัว ซูบิรูส์ มารดาชื่อ หลุยซา ขณะนั้นแบร์นาแด๊ตอายุ 14 ปี มีน้องชื่อ ตัวแน็ต มารี กับ ยัง มารี และ ยุสแต็ง การประจักษ์ครั้งที่ 1 ตรงกับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1858 แบร์นาแด๊ต กับตัวแน็ต น้องสาวและเพื่อนชื่อ ยาน อะบาดี ชวนกันไปเก็บฟืนมาหุงข้าวเมื่อมาถึงใกล้ก้อนหินใหญ่ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "มัสซาเบียล" ฐานของหินนี้เว้าเข้าไปเป็นรูปถ้ำ กว้างประมาณ 12 เมตร ลึกประมาณ 8 เมตร ทางด้านขวาของถ้ำสูงจากพื้นดินประมาณ 3 เมตร รอบๆ ถ้ำมีเถากุหลาบป่าขึ้นอยู่ประปราย ขณะนั้นหอนาฬิกาที่วัดบอกเวลาเที่ยงพอดี และมหัศจรรย์ก็ได้เริ่มขึ้น
 
        แบร์นาแด๊ตบอกว่า "เห็นหญิงสาวขาว (ทั้งตัว) คนหนึ่ง เธอก้มศีรษะเล็กน้อยทักทายฉัน แบมือเหมือนแม่พระในรูปทั่วไป ที่แขนขวามีลูกประคำห้อยอยู่ สตรีนั้นสวมเสื้อขาวยาวลงมาปกคลุมเท้า เสื้อนั้นมีที่รูดปิดคอ และมีปลายเชือกสีขาวห้อยอยู่ ผ้าสีขาวที่คลุมศีรษะนั้น ปกบ่าและแขน ฉันเห็นดอกกุหลาบสีเหลือง 2 ดอก บนเท้าทั้งสองของเธอ รัดประคดของเสื้อสีฟ้า ห้อยต่ำลงมาเลยหัวเข่า ส่วนลูกประคำนั้นสายสีเหลือง เม็ดสีขาวขนาดโต และห่างกัน หญิงสาวผู้นั้นท่าทางว่องไว มีแสงอยู่รอบข้าง " เมื่อฉันสวดลูกประคำจบ เธอก็ยิ้มลาฉัน แล้วถอยหลังหายวับเข้าไปในโพรง…"

        การประจักษ์ครั้งที่ 2 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันอาทิตย์ เมื่อเลิกพิธีมิสซาเวลา 13.00 น. แล้ว เพื่อนๆ ของแบร์นาแด๊ตติดตามเธอไปถึงบ้าน อ้อนวอนมารดาขออนุญาตให้แบร์นาแด๊ตไปที่ถ้ำมัสซาเบียลอีกเมื่อมาถึงแล้วแบร์นาแด๊ตให้ทุกคนคุกเข่าลงสวดลูกประคำ สักครู่หนึ่งเธอก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า "แน่ะ มาแล้วมีแสงสว่าง" เพื่อนๆ ยื่นขวดน้ำเสกให้เธอพลางพูดเสียงสั่นๆ ว่า "เร็ว! สาดน้ำเสกซี" แบร์นาแด๊ตหันมาพูดกับเพื่อนๆ ว่า "เธอไม่ยักโกรธ กลับก้มศีรษะรับ และยิ้มให้พวกเรา"

        การประจักษ์ครั้งที่ 3 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระบอกกับแบร์นาแด๊ตว่า "หนูจะกรุณามาที่นี่สัก 15 วัน จะได้ไหมคะ?" "ได้ค่ะ หนูขอสัญญา ถ้าคุณพ่อคุณแม่อนุญาต" แล้วสตรีงามพูดต่อไปว่า "ฉันไม่รับรองว่าหนูจะมีความสุขในโลกนี้ แต่โลกหน้า แน่นอน" แล้วสตรีผู้นั้นลอยขึ้นสูงหน่อย แล้วหายไป


        การประจักษ์ครั้งที่ 4 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ แม่พระขอบคุณแบร์นาแด๊ตที่มาพบอีก แล้วบอกว่า มีความลับจะบอกในภายหน้า

การประจักษ์ครั้งที่ 5 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระสอนแบร์นาแด๊ตให้สวดภาวนาบทหนึ่ง ทีละคำๆ บทภาวนานั้นสำหรับเธอสวดคนเดียวตลอดชีวิต และเธอก็สวดบทนั้นทุกครั้งที่แม่พระประจักษ์มา มีผู้พยายามใช้กลอุบายต่างๆ หลอกถามเธอ แต่เธอมิได้บอกใครเลยจนตลอดชีวิต

        การประจักษ์ครั้งที่ 6 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1858 มีผู้คนมารอดูมากมาย แบร์นาแด๊ตมาตามเวลากำหนดกับมารดาและน้า ดร. โดชูส แพทย์ประจำตำบลลูร์ดร่วมอยู่ด้วย เขามาเพื่อจะคอยจับผิด มากกว่ามาด้วยใจศรัทธาเลื่อมใส แม่พระบอกแบร์นาแด๊ตว่า "หนูจงสวดให้คนบาปที่น่าสงสาร สวดให้โลกที่กำลังยุ่งยากอลวนอยู่"

        การประจักษ์ครั้งที่ 7 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1858 การประจักษ์ครั้งนี้กินเวลาครึ่งชั่วโมง แม่พระบอกความลับกับเธอ 3 ข้อ ซึ่ง เธอจะบอกกับใครมิได้เลย และเธอก็ได้รักษาความลับนั้นไว้ตลอดชีวิต

        การประจักษ์ครั้งที่ 8 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1858 ผู้ที่อยู่ใกล้เธอขณะที่กำลังเข้าฌาน ได้ยินเสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากที่สั่นระริกว่า "ใช้โทษบาป! ใช้โทษบาป! ใช้โทษบาป!"

        การประจักษ์ครั้งที่ 9 วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระบอกแบร์นาแด๊ตให้ไปดื่มน้ำและล้างหน้าที่น้ำพุ แบร์นาแด๊ตคุ้ยดินขึ้น มีน้ำขึ้นมาแต่ขุ่น น้ำไหลขึ้นมามากทุกที (ปัจจุบันกลายเป็นน้ำพุที่ไม่ขาดสายและสวยงามมาก)

        การประจักษ์ครั้งที่ 10 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1858 แม่พระสั่งแบร์นาแด๊ตให้ไปบอกพระสงฆ์ให้สร้างวัดเล็กๆ ที่นี่หลังหนึ่ง

        การประจักษ์ครั้งที่ 11 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1858 แบร์นาแด๊ตถามชื่อของสตรีงาม แต่แม่พระเพียงแต่ยิ้มๆ เท่านั้น ไม่ตอบว่ากระไร
        การประจักษ์ครั้งที่ 12 วันที่ 1 มีนาคม 1858 ตั้งแต่ 7.00 น. บิดามารดาของเธอก็ไปพร้อมกันด้วย แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตใช้เฉพาะลูกประคำของตน

        การประจักษ์ครั้งที่ 13 วันที่ 2 มีนาคม 1858 แม่พระสั่งให้แบร์นาแด๊ตไปหาคุณพ่อเจ้าวัด บอกกับท่านว่า "อยากให้ผู้คนตั้งขบวนแห่มาที่ถ้ำ" แต่คุณพ่อเจ้าวัดกำลังหัวเสีย ตอบว่า "ดีแล้ว ถ้าเธอ (สตรีงาม) ไม่ยอมบอกชื่อ เจ้าก็เป็นคนโกหก…"

        การประจักษ์ครั้งที่ 14 วันที่ 3 มีนาคม 1858 แม่พระย้ำเรื่องการสร้างวัด แบร์นาแด๊ตบอกว่าคุณพ่อเจ้าวัดต้องการให้พิสูจน์ว่า ถ้าเป็นแม่พระจริง ขอให้ทำอัศจรรย์ให้ต้นกุหลาบป่าที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ นั้น ออกดอกแม่พระเพียงแต่ยิ้มเป็นการสอนชาวเราว่า มหัศจรรย์นั้น พระเป็นเจ้าจะทรงกระทำตามที่ทรงเห็นสมควรเท่านั้น มิใช่ทำตามคำท้าทายของใครๆ

        การประจักษ์ครั้งที่ 15 วันที่ 14 มีนาคม 1858 เช้าวันนั้นมีผู้คนมาประมาณ 8,000 คน แต่สิบตำรวจอังกลาขี่ม้าตรวจการณ์คะเนว่า คงมีอย่างน้อยสัก 20,000 คนวันนั้นหลังจากประจักษ์แล้วแบร์นาแด๊ตกลับไปเตือนคุณพ่อเจ้าวัดถึงเรื่องที่สตรีงามบอก แต่คุณพ่อเจ้าวัดย้ำว่า "ให้สตรีงามของเจ้าบอกชื่อมาซิ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นแม่พระ ฉันจะทำทุกอย่างที่แม่พระต้องการ"

        การประจักษ์ครั้งที่ 16 วันที่ 25 มีนาคม 1858 การประจักษ์ครั้งนี้สำคัญมาก แบร์นาแด๊ตวิงวอนให้สตรีงามนั้นบอกชื่อของตน "คุณขา กรุณาบอกหนูหน่อยเถอะค่ะ คุณคือใคร?" …ต่อคำถามอันพากเพียรและเต็มไปด้วยความไว้วางใจเช่นนี้เป็นครั้งที่ 3 สตรีผู้นั้น ซึ่งเคยพนมมืออยู่เสมอ บัดนี้ค่อยๆ กางแขนออก แบมือปล่อยแขนต่ำลงมาทั้ง 2 ข้าง (แบบแม่พระในเหรียญมหัศจรรย์) พลางกล่าวเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวลูร์ดว่า "ฉันคือการปฏิสนธินิรมล" พลางยิ้มให้แบร์นาแด๊ตอีกครั้งหนึ่ง แล้วหายไปทั้งๆ ที่ยังยิ้มอยู่..แบร์นาแด๊ตกลับไปหาคุณพ่อเจ้าวัดกล่าวว่า "สตรีผู้นั้นพึ่งบอกหนูว่า ฉันคือการปฏิสนธินิรมล" คุณพ่อเจ้าวัดถามต่อไปว่า "แล้วเจ้ารู้ไหมว่า แปลว่าอะไร?" "หนูไม่ทราบค่ะคุณพ่อ" หนูท่องมาตลอดทางตั้งแต่ถ้ำมาถึงที่นี่ ว่า "ฉันคือการปฏิสนธินิรมล"

        การประจักษ์ครั้งที่ 17 วันที่ 7 เมษายน 1858 แม่พระยิ้มอย่างอ่อนหวานกับเธอภายในโพรงที่ตั้งรูปแม่พระ เธอได้เห็นภาพประจักษ์เช่นนั้นนานประมาณ 45 นาที

        การประจักษ์ครั้งที่ 18 หรือครั้งสุดท้าย วันที่ 16 กรกฎาคม 1858 แม่พระทรงประจักษ์มานานประมาณ 15 นาที แบร์นาแด๊ตเล่าให้ฟังว่า "แม่พระประจักษ์มาให้เห็น ณ ที่เดิม โดยไม่พูดอะไรหนูไม่เคยเห็นเธองามเหมือนวันนั้นเลย"
หลังจากนั้นแบร์นาแด๊ตก็มิได้พบแม่พระอีก..พระศาสนจักรเริ่มดำเนินการสอบสวนจนกระทั่ง 18 มกราคม 1862 พระสังฆราชแห่งลูร์ดได้ประกาศเป็นทางการรับรองว่า เป็นแม่พระจริงที่ได้ประจักษ์มาที่ถ้ำมัสซาเบียล แล้วลงมือสร้างพระวิหารขึ้นจนสำเร็จ

        ส่วนแบร์นาแด๊ตได้ตัดสินใจเข้าบวชเป็นนางชีที่เนอแวร์ส เดือนกรกฎาคม ปี 1866 เธอพยายามทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า และที่สุดได้มอบดวงวิญญาณบริสุทธิ์คืนแด่พระ ณ วันที่ 6 เมษายน 1879 ขณะอายุ 39 ปีเศษ
ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ทรงประกาศชื่อแบร์นาแด๊ต ซูบิรูส์ ในสารบบนักบุญ วันที่ 8 ธันวาคม 1933 

พระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล

พระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล




 บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล (ปฐก 3:9-15,20)             
หลังจากที่อาดัมได้กินผลไม้จากต้นไม้นั้นแล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ ตรัสถามว่า ท่านอยู่ไหนมนุษย์ทูลตอบว่า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ในสวน ก็กลัวเพราะข้าพเจ้าเปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวพระองค์ตรัสถามว่าใครบอกท่านว่าท่านเปลือยกายอยู่ ท่านได้กินผลจากต้นไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือมนุษย์ทูลตอบว่าหญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กับข้าพเจ้าได้ให้ผลจากต้นไม้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกินองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสกับหญิงว่า ท่านทำอะไรไปหญิงทูลตอบว่า งูหลอกลวงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกินองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสกับงูว่า เพราะเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจงถูกสาปแช่ง ในบรรดาสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าทั้งปวง เจ้าจะต้องใช้ท้องเลื้อยไปตามพื้นดิน และกินฝุ่นเป็นอาหารทุกวันตลอดชีวิต เราจะทำให้เจ้าและหญิงเป็นศัตรูกัน ให้ลูกหลานของเจ้าและลูกหลานของนางเป็นศัตรูกันด้วย เขาจะเหยียบหัวของเจ้า และเจ้าจะกัดส้นเท้าของเขามนุษย์เรียกภรรยาของตนว่า เอวาเพราะนางเป็นมารดาของผู้มีชีวิตทั้งหลาย




บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ( ลก 1:26-38 )
      เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านเมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานพระบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลยพระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่ เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารีทูตสวรรค์ตอบว่าพระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้พระนางมารีย์จึงตรัสว่าข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิดแล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป
…….





พี่น้องที่รัก หญิงสองคนในพระวาจาของพระเจ้าวันนี้ ตอบรับ"พระประสงค์ของพระเจ้า" ต่างกัน หญิงคนแรก พบพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ก็เลือก "ทำตามความประสงค์ของตัวเอง" ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเสียหายไป  

แต่หญิงคนที่สอง คือพระนางมารีย์ น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า เลือกพระเจ้ามากกว่าความตั้งใจของตนเอง พระเจ้าทรงเลือกสรรพระนางมารีย์  

และพระจ้าทรงเลือกสรรเราแต่ละคนในพระคริสตเจ้าแล้วด้วย ตั้งแต่ก่อนการเนรมิตสร้างโลก เพื่อให้เราศักดิ์สิทธิ์และปราศจากมลทินเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความรัก พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่จะให้เราเป็นบุตรบุญธรรม เดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามพระประสงค์ที่พอพระทัย " ดังนั้น ขอให้เราเลียนแบบอย่างชีวิตของแม่พระ
คือพระประสงค์ของพระเจ้าสำคัญที่สุดสำหรับพระนางมารีย์ ขอให้พระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับชีวิตเราชัดเจนในใจเรา และขอให้เรา “เป็น”  ดังที่พระเจ้าที่ทรงปรารถนาให้เราเป็นข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้ ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด
  
      การฉลองสมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล
มีความหมายมากในเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสำหรับเรา
คือการยอมรับพระคริสตเจ้า ในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเรา
ขอให้การเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าของเราในปีนี้
มีความหมายยิ่งขึ้น อาศัยแบบอย่างชีวิตของพระนางมารีย์