วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

นักบุญอันตน


นักบุญอันตน นักเทศน์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
13 มิถุนายน

 
          นักบุญอันตน เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1195 ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรของมาร์ติโน เด โบยญอน ผู้ว่าราชการของเมืองลิสบอน และเทเรซา คาเวรา เมื่อรับศีลล้างบาปท่านได้ชื่อว่า แฟร์นันโด เด โบยญอน ในวัยเยาว์ท่านมีอุปนิสัยร่าเริงมีชีวิตชีวา มีสติปัญญาที่เฉียบแหลม เป็นคนอ่อนหวาน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ท่านไม่เคยกล่าวคำเท็จ ไม่เคยขาดมิสซา ท่านช่วยมิสซาประจำวันด้วยความสุขและความศรัทธา วันหนึ่งขณะที่ท่านคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระแท่นแม่พระในอาสนวิหารดวงตาทอดมองศีลมหาสนิทที่อยู่ในตู้ศีลฯ ปีศาจตนหนึ่งได้ปรากฏมา ท่านรู้สึกตกใจแต่ด้วยสัญชาติญาณของผู้มีความศรัทธา ท่านลุกขึ้นและได้ทำสำคัญมหากางเขนภาพนั้นก็หายไป แต่จนถึงบัดนี้ เครื่องหมายกางเขนศักดิ์สิทธิ์อันนี้ยังคงปรากฏอยู่บนแผ่นหินอ่อนอย่างไม่เลือนลาง



เมื่ออายุ 15 ปี ท่านได้ขอเข้าเป็นนักบวชคณะเอากุสตินที่อารามของนักบุญวินเซนต์นอกกำแพงเมืองลิสบอน แต่มักจะมีมิตรสหายมาเยี่ยมเยียนท่านบ่อย ๆ  ทำให้ท่านเกิดความวอกแวก ท่านจึงขออนุญาตย้ายไปอยู่ที่อารามฤๅษีแห่งซานตาครุส ห่างจากกรุงลิสบอนประมาณร้อยไมล์ ท่านใช้เวลา 8 ปีที่นั่นด้วยความนบนอบ สวดภาวนา และได้รักษาฤๅษีที่ป่วยเป็นโรคประสาทท่านหนึ่งให้หายขาด อารามแห่งนี้ทำให้ท่านมีโอกาสรู้จักกับฤๅษี 5 ท่าน ของคณะนักบุญฟรังซิส ท่านสนใจพวกเขาเป็นการส่วนตัว ซึ่งต่อมาฤๅษีทั้ง 5 ท่านได้เป็นมรณะสักขีที่ประเทศโมรอกโก และได้มีการสร้างสักการสถานที่เก็บพระธาตุของพวกท่านที่ซานตาครุส ท่านได้รับแรงบันดาลใจต้องการเป็นมรณสักขีเพื่อประกาศพระวรสาร เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าคณะออกัสติน ท่านจึงได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกคณะฟรังซิสกัน และได้รับชื่อใหม่ว่า อันตน ท่านสมัครเป็นมิสชันนารีที่อัฟริกา แต่ในระหว่างเดินทางที่ร้อนระอุทำท่านป่วยเป็นไข้ ผู้ใหญ่ของคณะจึงได้เรียกตัวกลับโปรตุเกส แต่ขณะที่กำลังเดินทางกลับลมพายุพัดปะทะเรือของพวกเขา ทำให้ต้องขึ้นฝั่งคาออร์มีนาและได้พำนักรักษาตัวอยู่ที่เมสซีนาเป็นเวลา 2 เดือน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านได้มีโอกาสไปประชุมสมัชชาของคณะฟรังซิสกันที่เมืองอัสซีซี ระหว่างสมัชชาท่านได้รับหน้าที่อภิบาลสมาชิกของคณะที่เป็นฆราวาสที่เมืองมอนเตเปาโล เป็นสถานที่เงียบสงบตามแบบที่ท่านปรารถนา ท่านได้ถวายมิสซาประจำวันและทำงานร่วมกับพวกเขา นอกจากนั้นท่านยังใช้ชีวิตในป่าเปลี่ยว เตียงนอนของท่านปูด้วยฟาง หมอนคือก้อนหิน อาหารของท่านคือขนมปังและน้ำ ท่านพลีกรรมด้วยการอดอาหาร ถือระเบียบวินัยและยอมรับความขัดสนต่าง ๆ ด้วยความยินดีและยอมรับความเจ็บปวด ท่านใช้เวลาศึกษาเล่าเรียน รำพึงภาวนาอย่างร้อนรน และแปลบทเพลงสดุดีของดาวิด ในช่วงนี้มีคนขอให้ท่านสวดภาวนาให้ นายปากาแนลลี เป็นคนหนึ่งหายจากอาการเจ็บป่วยอย่างอัศจรรย์โดยอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน
 
นักบุญอันตนเริ่มการเป็นนักเทศน์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1222 คุณพ่อกราเซียนได้ขอให้คุณพ่ออันตนพูดเตือนใจผู้ที่จะรับศีลบวช ด้วยความนบนอบท่านจึงต้องลุกขึ้นพูดด้วยสั่นกลัวแต่ด้วยความสุภาพ แต่เมื่อเริ่มพูดน้ำเสียงของท่านก็กังวาน ท่านพูดเหมือนท่านได้รับการดลใจ ทุกคนที่ได้ฟังเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้ นักบุญอันตนจึงได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์ในเวลาต่อมา  ครั้งหนึ่งที่เมืองรีมีนี ที่นั่นมีพวกถือนอกรีตอยู่มากมาย นักบุญอันตนต้องการจะนำพวกเขากลับคืนสู่แสงสว่างแห่งความเชื่อที่แท้จริง ท่านได้เทศน์ให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับความเชื่อในพระคริสตเจ้าและเกี่ยวกับพระคัมภีร์เป็นเวลาหลายวัน แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะฟังท่านเหมือนกับคนบาปที่ใจแข็งและหัวดื้อ ท่านจึงไปที่ตลิ่งริมแม่น้ำและเริ่มเทศน์ให้ปลาฟังในพระนามของพระเจ้า ฝูงปลามาชุมนุมกันมากมายเพื่อฟังเทศน์ เมื่อเห็นอัศจรรย์เช่นนี้ชาวเมืองก็เริ่มทยอยกันออกมาและบรรดาหัวหน้าของพวกถือนอกรีตก็ออกมากับเขาด้วย พวกเขาสะเทือนใจมากเมื่อได้เห็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น พร้อมหน้ากันกราบลงแทบเท้าของนักบุญอันตนเพื่อฟังคำเตือนของท่าน ท่านจึงได้เทศน์สอนความเชื่อคาทอลิกให้กับพวกเขา คำพูดของท่านน่าฟังจนทำให้พวกนอกรีตทั้งหมดกลับใจมาเชื่อคำสอนแท้ของพระคริสตเจ้า นักบุญอันตนมิได้เป็นเพียงนักเทศน์เท่านั้น แค่ท่านยังปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านเทศน์ด้วย 




มีอัศจรรย์เกิดขึ้นระหว่างการเทศน์สอนของท่านมากมาย ที่เมืองบูร์เกส แต่มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความอัศจรรย์ใจ ชาวยิวคนหนึ่งชื่อ กิลลาร์ด เป็นคนที่ขัดสู้กับคำสอนของนักบุญอันตนไม่เชื่อเรื่องการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท วันหนึ่งเขาพูดกับนักบุญอันตนว่า “คุณพ่ออันตนถ้าหากว่ามีเครื่องหมายภายนอกที่สัมผัสได้ที่ยืนยันถึงข้อความเชื่อที่พ่ออธิบายผมจะยอมละทิ้งความเชื่อเก่า ๆ ของผม และยอมรับความเชื่อของคุณพ่อ คุณพ่อเห็นด้วยไหม” คุณพ่ออันตนตอบว่า “ผมเห็นด้วย” ยิวคนนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “ผมมีล่ออยู่ตัวหนึ่ง ผมจะใส่กุญแจขังมันไว้สามวัน จะไม่ให้อะไรมันกินเลยตลอดสามวันนั้น เมื่อครบกำหนดสามวันผมจะเอามันไปที่จตุรัสที่กว้างที่สุดในเมือง ณ ที่นั้น ต่อหน้าสายตาผู้คนที่มาชุมนุมกัน ผมจะให้ข้าวโอ๊ดแก่มัน ส่วนคุณพ่อเชิญศีลมหาสนิทมา ถ้าหากล่อไม่ยอมกินอาหารที่ให้มัน แต่กลับไปหมอบอยู่ต่อหน้าศีลมหาสนิท ผมจะยอมกลับใจเป็นคาทอลิกและจะไม่สงสัยข้อความเชื่อของคำสอนของพระศาสนจักรอีกต่อไป” ท่านนักบุญอันตนทราบว่าชัยชนะครั้งนี้คือวิญญาณดวงหนึ่ง ท่านใช้เวลาตลอดสามวันนั้นเพื่ออดอาหารและภาวนา ในขณะที่กิลลาร์ดและเพื่อน ๆ ต่างมั่นใจว่าคุณพ่ออันตนจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ณ ที่ลานจัตุรัส  ต่อหน้าประชาชนอย่างมากมาย ท่านนักบุญอันตนเดินเข้าในมือของท่านถือรัศมีศีลมหาสนิท มีสัตบุรุษเดินตามท่านมาขับร้องและสวดภาวนา เจ้าล่อตัวนั้นถูกนำเข้ามา มีคนนำข้าวโอดมาวางไว้ตรงหน้าเพื่อล่อมัน ขณะที่คุณพ่ออันตนเข้ามาชูรัศมีหันไปทางเจ้าล่อตัวนั้น ท่านกล่าวว่า “ในพระนามของพระผู้สร้าง ซึ่งแม้ฉันจะไม่เหมาะสมถือไว้ในมือ ขอสั่งเจ้าสัตว์ที่ไร้สติปัญญาให้เข้ามาทันทีและหมอบลงต่อหน้าพระเจ้า เพื่อผู้ที่ไม่มีความเชื่อทั้งหลายจะได้รู้ว่า สิ่งสร้างทั้งมวลจะต้องขึ้นกับพระชุมพาซึ่งถวายองค์ทุกวันบนพระแท่น” ในขณะเดียวกัน นายกิลลาร์ดและเพื่อนๆ ของเขาได้นำข้าวโอ๊ดไปล่อให้กับเจ้าล่อที่กำลังหิว แต่เจ้าล่อกับไม่สนใจแม้แต่น้อย กลับเดินไปที่เท้าของท่านนักบุญอันตน หมอบลงต่อหน้าศีลมหาสนิทและอยู่ที่นั่นในท่านมัสการศีลมหาสนิทอยู่เป็นเวลานาน พวกนอกรีตวิ่งหนีกันอลหม่าน มีหลายคนรู้สึกประทับใจในอัศจรรย์ที่ได้เห็นจึงได้กลับใจและกลับเข้ามาในพระศาสนจักรอีกครั้ง


อีกครั้งหนึ่งชะตากรรมของบิดาของท่านได้รับการเปิดเผยให้ท่านทราบอย่างอัศจรรย์ เนื่องจากชายคนหนึ่งถูกฆ่าตายและศพถูกนำไปทิ้งไว้ที่สวนของบิดาของท่าน แต่ท่านเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของบิดา ท่านจึงมีความประสงค์ที่จะไปช่วยบิดาของท่าน คุณพ่ออันตนขออนุญาตผู้ใหญ่ที่อารามอาร์แชลลา เพื่อออกจากปาดัวระยะหนึ่งแม้ตัวท่านเองเป็นเจ้าคณะแขวงจึงไม่ต้องขออนุญาตคุณพ่อผู้ดูแล แต่ท่านไม่เคยลืมที่จะแสดงความสุภาพเพราะตัวท่านเองเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม เมื่อได้รับอนุญาตท่านก็เริ่มเดินทางทันทีด้วยความหวังและความไว้วางใจ ท่านไปถึงกรุงลิสบอนได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ท่านได้ไปแนะนำตัวต่อบรรดาผู้พิพากษา และขออนุญาตสู้ความให้ ดอน มาร์ตินโน ท่านประกาศว่าบิดาของท่านบริสุทธิ์ ผู้พิพากษาถามถึงข้อพิสูจน์หลักฐาน นักบุญอันตนตอบว่า “คนที่ถูกฆ่าจะเป็นพยานถึงความถูกต้องของพยานหลักฐานของผม” คุณพ่ออันตนพาพวกเขาไปที่หลุมฝังศพของผู้เคราะห์ร้าย ท่านสั่งให้ขุดเปิดโลงศพ คุณพ่ออันตนสั่งให้คนตายให้พูดในนามของพระเจ้าว่า มาร์ติโน เด โบยญอน เป็นคนฆ่าเขาหรือไม่ คนตายลุกขึ้นนั่งประกาศเสียงดังว่า “มาร์ติโน เด โบยญอน เป็นผู้บริสุทธิ์” จากนั้นก็หันไปหาคุณพ่ออันตนเพื่อขอรับศีลอภัยบาปและล้มลงนอนกลายเป็นศพดังเดิม ผู้พิพากษาจึงขอให้ท่านเปิดเผยชื่อของฆาตรกรที่แท้จริง ท่านตอบว่า “พ่อมาเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์มิได้มาเพื่อกล่าวหาใคร”




ความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญอันตนแสดงให้เราเห็นมากมาย ครั้งหนึ่งท่านและคณะของท่านได้เข้าพักที่บ้านของชาโตเนิฟ และเริ่มสวดภาวนาจนดึก เจ้าของบ้านซึ่งอยู่ห้องถัดไปรู้สึกตกใจเพราะแสงสว่างที่ลอดออกมาจากช่อง ประตูห้องนักบุญอันตน จึงวิ่งไปที่ห้องแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปเพราะเกรงว่าจะรบกวนท่าน จึงหยุดเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคุยกัน เขาจึงสนใจและแอบมองทางรอยแตก เขาได้เห็นภาพที่น่าประทับใจคือ นักบุญอันตนคุกเข่าอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งมีหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่งเปิดอยู่ บนหนังสือเล่มนั้นเขาแลเห็นร่างกายของพระกุมารเยซู ส่องแสงเรืองๆ ออกมาจากทุกด้านใบหน้าส่องแสงสวยงามมาก พระกุมารทรงเอนเข้าซบในอ้อมกอดและกระซิบที่หูของท่านของนักบุญอันตน 

นักบุญอันตนเลือกเมืองปาดัวเป็นที่พำนักและจบชีวิตลงที่นั่น ในปี ค.ศ.1231 ขณะที่ท่านมีอายุได้ 36 ปี ศพของท่านถูกนำไปไว้ที่วัดซานตา มารีอา ในเมืองปาดัวบรรจุอยู่ในโกฏหินอ่อน จากสถานที่แห่งนี้ อัศจรรย์มากมายได้เกิดขึ้น คนตาบอดมองเห็นได้ คนหูหนวกได้ยิน คนง่อยเดินได้ และคนป่วยกลับหายเป็นปกติ เป็นเวลากว่า 30 ปี ที่ศพของนักบุญอันตนประดิษฐานอยู่ที่สักการสถานหินอ่อนที่วัด ซานตา มารีอา ต่อมาในปี ค.ศ. 1263 ได้มีการเคลื่อนย้ายไปยังพระแท่นกลางในวัดแห่งใหม่ โดยนักบุญบอนาแวนตูรา ซึ่งคณะฤๅษีน้อยได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ท่าน ในการเปิดสักการสถานในโอกาสนี้ก็พบว่าศพได้กลายเป็นฝุ่นหมดแล้วแต่ว่าลิ้น ยังคงอยู่ในสภาพสีธรรมชาติ นักบุญบอนาแวนตูราอุทานออกมาในขณะขนย้ายอัฐิว่าโอ! ลิ้นที่ได้รับพระพร ซึ่งสรรเสริญพระเป็นเจ้าอยู่ตลอดการและทำให้ผู้อื่นสรรเสริญพระองค์ด้วย บัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระเป็นเจ้าทรงยกย่องเจ้าของขนาดไหน



พี่น้องที่รัก แบบอย่างชีวิตนักบุญอันตนเป็นประจักษ์พยานให้เราเห็นถึงความนอบน้อมถ่อมตน ท่านมีจิตใจร้อนรนในการประกาศข่าวดี ท่านให้ความสำคัญต่อการสวดภาวนา พลีกรรม ท่านรักการอ่านพระคัมภีร์จนทำให้ท่านมีชีวิตใกล้ชิดกับพระเยซูกุมาร จนได้รับเกียติว่าเป็นนักปราชญ์แห่งพระวรสาร การเทศน์สอนของท่านแสดงให้เราเห็นถึงการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท แม้คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาก็แสดงให้เราเห็นถึงความสำคัญของการรับศีลอภัยบาป ดังนั้น พี่น้องที่รัก ขอให้เรื่องราวจากชีวิตของท่านนักบุญอันตนเตือนใจให้เราสวดภาวนาและอ่านพระวาจาของพระเจ้า เพื่อจะได้มีความใกล้ชนิดสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้าดังเช่นท่านนักบุญอันตน และไม่ละเลยที่จะไปรับศีลอภัยบาป และเทิดเกียติพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทอยู่เสมอ เพื่อเราจะได้เป็นคริสตชนที่ดีดำเนินชีวิตในหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ตามรอยชีวิตของท่านนักบุญอันตน...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น