วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

นักบุญมอนิกาและนักบุญออกัสติน


นักบุญมอนิกาและนักบุญออกัสติน



        หนูน้อยออกัสตินเกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.354 เกิดที่เมืองธากัสท์ (Thagaste) ที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ปัจจุบันคือ อัลจีเรีย บิดาของท่านมีนามว่า ปาตริซิอุส(Patricius) บิดาของท่านทุ่มเทเพื่ออบรมและให้การศึกษาแก่ลูกอย่างดี  แม้ท่านจะเป็นคนต่างศาสนาแต่ท่านก็เคารพศาสนาของภรรยา มารดาของท่านมีนามว่า มนนิกา (Monnica) เป็นสตรีที่มีความศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างอุทิศชีวิต นางมอนิกามีใจร้อนรน และเอาใจใส่อบรมลูก ๆ เป็นอย่างดี  
        ออกัสตินเป็นเด็กที่มีความกระฉับกระเฉงว่องไว ใจร้อน โมโหง่าย ดื้อรั้น แต่ก็มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด เขาก็เป็นคนที่มีความรู้สึกไว แม่มอนิกามักจะพาลูกชายของเธอไปเยี่ยมผู้ป่วยอยู่บ่อย ๆ เธอสอนลูกว่า “การให้ทานแก่คนยากจนก็เท่ากับให้แก่พระเจ้านั่นเอง” มอนิกาเป็นสุขใจเมื่อเธอได้ปฏิบัติหน้าที่การเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก
        เมื่อออกัสตินอายุได้ 12 ปี เรียนจบชั้นประถม จึงได้เดินทางไปเรียนต่อที่เมืองมาโดร์ แม้เขาจะเป็นนักเรียนดีมาก แต่เขาได้ประพฤติตนเหลวไหลด้วย พอเขาอายุ 16 ปีก็เรียนจบ แต่เมื่อนายปาตรีสบอกบุตรชายว่าไม่มีเงินพอจะส่งลูกเรียนต่อไปได้อีก ทำให้ออกัสตินกลายเป็นหนุ่มคิดสั้นเขาเข้าไปในเมืองคาร์เธจ และทำแต่สิ่งที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ เช่น คบเพื่อนเกเร ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีเพียงเพราะต้องการทำอะไรขวางหูขวางตาเท่านั้น มอนิกาเศร้าใจมากแต่นางมิได้ปริปากบ่น ได้แต่มอบทุกอย่างไว้ในพระญาณสอดส่องของพระเจ้า นายปาตริสคิดว่า การจัดให้ออกัสตินมีครอบครัวน่าจะเป็นหนทางที่ดี บังเอิญเพื่อนคนหนึ่งของออกัสตินได้ยื่นข้อเสนอให้ออกัสตินไปพักอยู่กับเขาและจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้ นางมอนิกาก็ยังเป็นห่วงออกัสตินบอกเขาว่าอย่าใช้เงินทองในเรื่องเหลวแหลก นายปาตริสก็ไปสมัครให้ลูกเรียนคำสอน แต่ออกัสตินปฏิเสธ 

        ม้นางมอนิกาจะพยายามอบรมบ่มเพาะปลูกฝังวิถีชีวิตแบบชาวคริสต์ที่ดีให้แก่ออกัสตินก็ตาม แต่เมื่อเขาเดินทางไปถึงคาร์เธจ ความสนใจของเขาอยู่ที่สถานเริงรมย์ต่าง ๆ และใช้ชีวิตอย่างน่าเป็นห่วง เขาได้ศึกษาทางด้านวาทศาสตร์และเป็นผู้มีความฉลาดปราดเปรื่องพอ ๆ กับความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ และในเวลานี้เองนายปาตรีสก็คืนดวงวิญญาณแด่พระเจ้า และอาศัยคำภาวนาของนางมอนิกา ก่อนที่นายปาตรีสจะสิ้นใจ เขาได้กลับใจและรับศีลล้างบาป ออกัสตินได้เดินทางกลับมาที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน และนางมอนิกาได้เตือนบุตรชายของตนว่า ขอให้การตายของพ่อเป็นบทเรียนของลูก “การกลับใจของพ่อปลอบใจแม่จากความประพฤติเหลวไหลของลูก
หลังจากกลับมาจากบ้านเกิดของตน ออกัสตินเริ่มทุ่มเทให้กับการเรียนทั้งวิชาการพูด ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ ดนตรี และกฎหมายโรมัน และในเวลานี้เขาเริ่มมีความความสงสัยในคำสอนของศาสนาคริสต์หลายเรื่อง เช่น เรื่อง บาป เรื่องพระเจ้า เรื่องการสร้าง ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นความดี โลกของเราก็น่าจะสมบูรณ์แบบ แต่ทำไมจึงมีความชั่วร้าย พระเจ้าได้ทรงสร้างความชั่วร้ายมาด้วยหรือ? เมื่อเขาได้พยายามหาคำตอบจากทางคริสตศาสนาแต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจในคำตอบเหล่านั้น เขาจึงหันหลังให้กับศาสนาคริสต์ แล้วไปศึกษากับกลุ่มเฮเรติ๊ก นักคิดแนวสงสัยนิยม (Skepticism) กลุ่มที่เรียกตัวเองว่านักคิดมานิเชียน (the Manichaeans) ที่โอ่ตัวว่า เป็นนักคิด นักวิชาการที่เหนือชั้นกว่า และปฏิเสธหลักเอกเทวนิยมในพระคัมภีร์แต่คำตอบของนักคิดกลุ่มนี้ ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของออกุสติน ในเวลานั้นเขาได้ภรรยามีบุตรด้วยกัน 1 คน และได้อยู่กินฉันท์สามีภรรยา มารดาของท่านได้แสดงความรู้สึกเสียใจและผิดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมากที่ทำตัวเป็นผู้ทรยศต่อหลักศรัทธาในพระเจ้า
ต่อมาเขาก็ได้เดินทางจากแอฟริกาไปกรุงโรมและเมืองมิลาน เพื่อสอนวิชาวาทศาสตร์ ในช่วงนี้ท่านได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจาก ท่านอัมโบรส (Ambrose) พระสังฆราชแห่งมิลาน บทเทศน์ของท่านทำให้ออกุสตินรู้สึกประทับใจในคำสอน มารดา ภรรยาและลูกของเขาได้ออกเดินมาหาออกัสตินที่มิลาน และการอยู่ร่วมกันของมารดาและภรรยาของเขาเริ่มเกิดปัญหา ที่สุดภรรยาของเขาจึงลาจาก และไปสมัครเข้าอารามแห่งหนึ่งในแอฟริกา
ระหว่างนี้เกิดการปฏิวัติขึ้นทั้วไปในจักรวรรดิโรมันและในแอฟริกา พระจักรพรรดิ พระราชินีได้ร่วมมือกับเฮเรติก พระราชินียูสดีนาได้ทรงขอเอาพระวิหารหลังหนึ่งในมิลานให้เป็นของลัมธิอาเรียน แต่พระสังฆราชอัมโบรส พระสงฆ์และบรรดาสัตบุรุษไม่ยินยอม พวกเขาได้เข้าไปอยู่ในพระวิหารแห่งนี้ ที่สุดพระสังฆราชอัมโบรสและบรรดาสัตบุรุษเป็นฝ่ายชนะ เหตุการณ์นี้ทำให้ออกัสตินได้เห็นว่ายิ่งคริสตศาสนาถูกเบียดเบียนมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งเข้าใกล้คริสตศาสนาเท่านั้น ที่สุด เขาจึงเข้ามาหาพระสังฆราชเพื่อขอเรียนคำสอน
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญคือ พระสังฆราชอัมโบรสได้พบศพของมรณสักขีสองท่าน เมื่อมีคนนำคนถูกปีศาจสิ่งเข้ามาใกล้พระธาตุนี้ ผีก็ออกไปทันที และมีชายคนหนึ่งตาบอดมาหลายปี มีคนพาเขามายังพระธาตุนี้ ยังมิทันที่เขาจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาแตะที่พระธาตุ นัยน์ตาของเขาก็หายเป็นปกติแล้ว

ต่อมาเขาได้ศึกษาปรัชญาทฤษฎีแบบของเพลโตและจากแนวคิดของนักเพลโตนิยมใหม่ที่ชื่อว่า โปรตินุส (Plotinus) นำไปสู่แนวความคิดที่ว่าความชั่ว” (evil) ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นภาวะของความขาดแคลน (a matter of privation) ของความดี (the absence of good) แนวคิดเพลโตนิยมใหม่ ทำให้ท่านออกุสตินข้ามพ้นจากปรัชญาแห่งความสงสัย (skepticism) ปรัชญาวัตถุนิยม (materialism) และปรัชญาทวินิยม (dualism) ไปได้ ปรัชญาของเพลโตช่วยให้ท่านเข้าใจในหลักศรัทธาของศาสนาคริสต์ อย่างมีเหตุมีผล ที่นำไปสู่ การมีภูมิปัญญา สำหรับท่านแล้ว ภูมิปัญญาที่แท้จริง คือ ภูมิปัญญาแห่งศาสนาคริสต์ จึงไม่มีความแตกต่างระหว่างเทววิทยากับปรัชญา ความรู้ทั้งหลายย่อมนำไปสู่การช่วยให้มนุษย์ได้รู้จักกับพระเจ้า
ดังนั้นเมื่ออายุได้ 33 ปี ท่านได้ประกาศตนเป็นคริสตชนและในวันที่ 25 เมษายน 387 ท่านก็ได้รับศีลล้างบาป คุณแม่มอนิกาดีใจมากที่พระเจ้าฟังคำภาวนาของตน เพราะเธอได้รอคอยและพยายามออกแรงทำทุกสิ่ง และภาวนาให้ออกัสตินเป็นเวลายาวนานถึง 16 ปี
หลังจากนั้นออกัสตินและเพื่อน ๆ มีความตั้งใจว่าจะเริ่มต้นชีวิตฤษีของตนในบ้านเกิดของตน ระหว่างนั้นคุณแม่มอนิกาเกิดป่วยเป็นไข้ ออกัสตินและน้องชายของเขาเฝ้าพยาบาลมารดาของตนมิได้ห่าง นางมอนิกาล้มป่วยอย่างหนักอยู่ 9 วันก็อำลาโลกนี้ไปอย่างสงบ ภายหลังจากความตายของมารดา ออกัสตินได้เดินทางกลับแอฟริกาและอุทิศชีวิตที่เหลือแด่พระเจ้า เจริญชีวิตแบบนักบวช และวันหนึ่งได้บวชเป็นพระสงฆ์และต่อมาได้รับอภิเษกให้เป็นพระสังฆราชแห่งเมืองฮิปโป (ใกล้ๆกับเมืองโบนาในประเทศอัลจีเรียในปัจจุบัน) ตลอดระยะเวลาที่ได้ท่านเป็นพระสงฆ์และพระสังฆราชท่านได้อุทิศตนเองเพื่อ เป็นนายชุมพาบาลที่ดี ท่านต้องขี่ล่อออกไปภายใต้แสงแดดที่ร้อนระอุเพื่อไปเยี่ยมเยียนสัตบุรุษตามที่ต่าง ๆ เพื่อผดุงความยุติธรรม ช่วยเหลือคนยากจน และดูแลผลประโยชน์ของพระศาสนจักร รับฟังความทุกร้อนของสัตบุรุษ และปลอบประโลมจิตใจพวกเขา นอกจากนี้ท่านได้เทศน์สอน เขียนหนังสือและต่อสู้กับพวกเฮเรติ๊กที่สอนผิดความเชื่อ เช่น พวกนิยมลัทธิมานีเค พวกโดนาติสต์ พวกเปลาเจียน และพวกนิยมอารีอุส ผลงานที่ได้รับการกล่าวถึงได้แก่ Confessions, City of God, ฯลฯ
นักบุญออกัสตินเป็นปิตาจารย์และเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่พระศาสนจักรลาติน ที่สุดเมื่อท่านอายุย่างเข้าสู่ปีที่ 76 และวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านก็ใกล้เข้ามาทุกที ในเวลานั้นแม้ท่านจะป่วยหนักมาก มีชายคนหนึ่งร้องไห้ฟูมฟาย นำลุกชายของตนมาให้ท่านดู ขอร้องให้ออกัสตินช่วยรักษาบุตรชายของตน แต่ท่านออกัสตินก็ยิ้มด้วยความเมตตากล่าวว่า “ถ้าพ่อมีฤทธิ์สามารถรักษาความเจ็บป่วยไข้ได้ พ่อก็จะรักษาตัวเองก่อน” แต่ชายคนนั้นรบเร้าพลางร้องว่า “เมื่อวานนี้ผมฝันว่ามีคนหนึ่งมาบอกว่า จงไปหาท่านออกัสติน ให้ท่านปกมือให้ แล้วเด็กจะหายป่วยทันที พระสังฆราชผู้ศักดิ์สิทธิ์รู้สึกตื้นตันใจ พลางปกมือที่หน้าเด็กคนนั้น ทันทีเด็กก็หายป่วยเป็นปกติ ที่สุดท่านออกัสตินได้ถวายวิญญาณของท่านคืนแก่พระเจ้าในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 430
พี่น้องที่รัก เราได้ตามรอยเท้าครอบครัวนักบุญ นักบุญมอนิกา สะท้อนให้เราเห็นว่า คำภาวนาเปลี่ยนทุกอย่างได้ท่านเป็นแบบอย่างให้เราเห็นถึงการดำเนินชีวิตร่วมกันในครอบครัวที่สมาชิกทุกคนมิได้นับถือศาสนาเดียวกันและยังเป็นแบบอย่างของการภาวนาให้แก่กันและกันในครอบครัว ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อกันซึ่งจะหาสิ่งใดมาทดแทนไม่ได้ นักบุญออกัสติน ก็สะท้อนให้เราเห็นว่า คนบาปคนหนึ่งสามารถเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ได้ หลังจาที่ท่านกลับใจแล้ว ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่มีหัวใจที่ไม่รู้จักอิ่มในการแสดงความรักต่อพระเจ้า ท่านเป็นผู้มีใจกว้างและสามารถอภัยให้คนอื่นได้ง่าย ๆ แม้กระทั้งศัตรูของท่านด้วย
พี่น้องที่รักขอแบบอย่างของท่านนักบุญทั้งสองเป็นแรงบันดาลใจให้เราแต่ละคนมีความกล้าหาญที่จะกลับใจและกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตดังเช่นนักบุญนักบุญออกัสติน และมีจิตใจร้อนรนในการภาวนา มีความเชื่อว่าคำภาวนาเปลี่ยนทุกอย่างได้ เพื่อเราจะได้มีใจศรัทธาและไม่ย่อท้อในการภาวนาให้แก่กันและกัน  เป็นต้นภาวนาลูกแกะที่หลงไปจากพระศาสนจักรจะได้กลับเข้าสู่คอกแกะในพระศาสนจักรต่อไป เพื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะเป็นประชากรที่ดีของพระเจ้าดังเช่น บรรดานักบุญที่ได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าในอาณาจักรสวรรค์ 



ข้อมูลเพิ่มเติมจาก คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์
นักบุญออกัสติน เป็นปิตาจารย์และเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ท่านแรกในจำนวน 4 ท่านของพระศาสนจักรลาติน (นักบุญอัมโบรซีโอ นักบุญเยโรม และนักบุญเกรโกรีองค์ใหญ่ พระสันตะปาปา) แม้ว่าได้สิ้นใจในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 430 แต่งานเขียนและคำสอนของท่านยังคงมีอิทธิพลต่อความคิดทางเทววิทยาและชีวิตฝ่ายจิตของพระศาสจักรจวบจนปัจจุบัน อีกทั้งได้รับการอ้างอิงอยู่เสมอ อาทิ
ความรักและการรับใช้:
“จงรักและทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ” (Love and then what you will, do.)
 “จงรักคนบาปและเกลียดชังบาป” (Love the sinner and hate the sin.    Opera Omnia, Vol II. Col. 962, letter 211)
“อะไรคือความรัก? ความรักมีมือเพื่อช่วยผู้อื่น มีเท้าที่เร่งรุดไปหาคนขัดสนและต้องการความช่วยเหลือ มีตาที่มองเห็นความทุกข์ยากและความต้องการ มีหูที่ได้ยินเสียงและความทุกข์ของคน นั่นคือสิ่งที่ความรักเป็น” (What does love look like? It has the hands to help others. It has the feet to hasten to the poor and needy. It has eyes to see misery and want. It has the ears to hear the sighs and sorrows of men. That is what love looks like.)
ความสุภาพถ่อมตน: “ความยิ่งโยโสเปลี่ยนเทวดาให้เป็นปีศาจ ความสุภาพถ่อมตนทำให้คนเป็นเทวดา” (It was pride that changed angels into devils; it is humility that makes men as angels.)
การไตร่ตรองตนเอง: “มนุษย์เดินทางไปต่างแดนเพื่อชื่นชมความสูงของภูเขา พลังของคลื่นในทะเล ความกว้างของกระแสน้ำ ระยะของมหาสมุทร และวงโคจรของดวงดาว อีกทั้งยังปล่อยให้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเองผ่านไปโดยไม่คิด” (Men go abroad to admire the heights of mountains, the mighty waves of the sea, the broad tides of rivers, the compass of the ocean, and the circuits of the stars, yet pass over the mystery of themselves without a thought. – Confessions)
ภาระหน้าที่: “ไม่มีใครเป็นสังฆราชที่ดีได้ หากเขารักเพียงตำแหน่ง ไม่ใช่ภาระหน้าที่” (No man can be a good bishop if he loves his title but not his task. – City of God)
พระวาจา: “หากท่านเชื่อสิ่งที่ท่านชอบในพระวรสาร และปฏิเสธสิ่งที่ท่านไม่ชอบ นั่นไม่ใช่พระวรสารที่ท่านเชื่อ แต่เป็นตัวท่านเอง” (If you believe what you like in the gospels, and reject what you don't like, it is not the gospel you believe, but yourself. – Sermons)
ความสัมพันธ์กับผู้อื่น: “แม้ว่าท่านไม่สามารถทำดีกับทุกคน แต่ท่านต้องให้ความสำคัญพิเศษกับคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับท่านในเวลา สถานที่ และสภาพแวดล้อมที่ไม่คาดคิด” (Since you cannot do good to all, you are to pay special attention to those who, by the accidents of time, or place, or circumstances, are brought into closer connection with you. - On Christian Teaching)
ความยุติธรรม: “อาณาจักรที่ปราศจากความยุติธรรมคือแก็งโจร” (What are kingdoms without justice? They're just gangs of bandits. – City of God)
การติดตามพระเจ้า: “การรักพระเจ้าคือความรักที่ยิ่งใหญ่ การแสวงหาพระองค์คือการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ การพบพระองค์คือความสำเร็จยิ่งใหญ่ของมนุษย์” (To fall in love with God is the greatest romance; to seek Him the greatest adventure; to find Him, the greatest human achievement.)
ความยากลำบาก: “พระหรรษทานมีความหมายเพื่อช่วยคนดี มิใช่เพื่อช่วยให้เขาหนีจากความลำบาก แต่ทำให้พวกเขาอดทนด้วยใจที่กล้าหาญ ด้วยความอดทนที่ทำให้พบความเชื่อที่เข้มแข็ง” (What grace is meant to do is to help good people, not to escape their sufferings, but to bear them with a stout heart, with a fortitude that finds its strength in faith. – City of God)

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น