นักบุญฟรังซิสเป็นบุคคลที่มีความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ฟรังซิสโก เกิดในปี ค.ศ.1182 บิดาเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่ง ชื่อว่า ปีเอโตร มารดาชื่อว่า โจวันนา เขามีลักษณะนิสัยและจิตใจอ่อนโยน น่าคบหา ใบหน้ายิ้มแย้ม พูดจาสุภาพ เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เมื่อเป็นหนุ่ม เป็นคนฉลาด ว่องไว รักสนุก ไม่ค่อยจริงจังกับชีวิตแต่ที่ชื่นชอบของทุกคน เขาได้เรียนหนังสือกับพระสงฆ์ที่โบสถ์ อายุได้ 15 ปี บิดาก็บังคับให้เลิกเรียนและให้หันมาสนใจเรื่องการค้าขาย และเมื่อเกิดสงครามระหว่างเมืองอัสซีซีกับเปรูจา พวกอัสซีซีถูกล้อมอยู่ในที่ราบคอลเลสตราดา เขาถูกจับเป็นเชลย หลังถูกกักเป็นเชลยอยู่ 1 ปี ได้ล้มป่วยลงอย่างหนัก บรรดาญาติพี่น้องได้ไปไถ่ตัวกลับคืนมา และในระหว่างการพักฟื้นร่างกาย เขาก็ยังเริ่มฝันถึงเรื่องชื่อเสียงเกียรติยศและตัดสินใจเข้าร่วมกับขุนนางเพื่อออกเดินทางไปแคว้นปูญีอา เมื่อเดินทางมาถึงเมืองสโปเลโตเขาได้ล้มป่วยอีกและได้เห็นนิมิตที่ทำให้เขาเลิกฝันถึงเกียรติยศอย่างสิ้นเชิง เสียงสนทนาจากภาพนิมิตพูดกับเขาว่า “ฟรังซิส สำหรับเจ้าเจ้าใครมีความสำคัญกว่ากัน เจ้านายหรือคนใช้” เขาตอบว่า “เจ้านายซิ” “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเจ้าจึงทิ้งเจ้านายเพื่อไปติดตามคนใช้เสียล่ะ” ฟรังซิสโกจึงถามด้วยความอึดอัดว่า “พระองค์ทรงประสงค์อะไรจากข้าพเจ้า” เสียงนั้นบอกเขาว่า “จงกลับไปอัสซีซี ที่นั่น เราจะบอกเจ้าว่าต้องทำอะไร”
เมื่อกลับมาอัสซีซี เขายังคงไปเฮฮากับเพื่อน แต่พระเจ้ายังคงตรัสในดวงใจของเขา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเริ่มปลีกตัวออกจากเพื่อน ๆ และมอบเวลาว่างส่วนหนึ่งของท่านสำหรับคนจนและโรคเรื้อน ในโอกาสไปแสวงบุญที่กรุงโรมเขาได้พบกับคนยากจนคนหนึ่งที่มุขหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร ได้แลกเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนกับคนยากจนนั้น เมื่อกลับมาที่อัสซีซี ท่านได้เลิกใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย และออกไปแสวงหาสถานที่สงบเพื่อสวดภาวนาสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า วันหนึ่งขณะที่ท่านขี่ม้าไปตามทุ่งหญ้าของอัสซีซีเขาได้พบกับบุรุษผู้หนึ่งที่เป็นโรคเรื้อน โดยสัญชาตญาณ เขาคิดจะหนีไปทันที แต่แล้วกลับมีพลังประหลาดที่ทำให้ท่านหยุดม้า และลงมาที่พื้นเข้าไปหาคนโรคเรื้อนนั้น โอบกอดและจุมพิตเขาราวกับเป็นพี่น้องของท่านเอง ด้วยการกระทำนี้เขาได้ขุดหลุมฝังความกลัวที่ปิดกั้นไม่ให้เปิดตัวรับพระวรสารอย่างหมดสิ้นและค่อยๆทำตัวใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้าผู้ซ่อนพระองค์อยู่ในพี่น้องที่ทุกข์ทรมาน
ระหว่างเดินทางกลับผ่านทุ่งหญ้า เขาได้แวะสวดภาวนาที่วัดนักบุญดามีอาโนซึ่งอยูในสภาพที่หักพัง ฟรังซิสได้คุกเข่าลงสวดภาวนาต่อหน้ารูปพระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขนใจร้อนรน เขาได้ยินเสียงของพระเจ้าตรัสกับเขาว่า "ฟรังซิสโก จงไปบูรณะบ้านของเราที่เธอเห็นว่ากำลังทรุดโทรมหมดแล้ว" ด้วยความนอบน้อมต่อพระเจ้า ท่านจึงได้นำผ้าราคาแพงไปขายที่เมืองฟอลิโญ เขากลับมาพร้อมเงินก้อนใหญ่ แวะที่วัดดามีอาโน ไปหาพระสงฆ์ผู้ดูแลวัดและถวายเงินนั้นสำหรับการซ่อมแซมวัด พระสงฆ์กลับมีความเห็นว่าฟรังซิสโกคงเป็นคนสติไม่สมประกอบ ท่านจึงได้ปฏิเสธเงินจำนวนนั้น แต่อนุญาตให้ท่านพำนักอยู่บ้านพระสงฆ์ข้าง ๆ วัดได้
เมื่อบิดาของเขาทราบความประพฤติแปลกๆของบุตรชาย ก็รีบไปที่วัดนักบุญดามีอาโนและต้องการให้เขากลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิม ฟรังซิสโกได้หลบไปซ่อนตัวในถ้ำเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นท่านจึงกลับมาที่อัสซีซี ทันทีที่เห็นหน้า บิดาก็จับเขาไปขังไว้ในบ้าน เมื่อบิดาไม่อยู่ มารดาของเขาจึงได้แอบปล่อยเขาออกมา ภายหลังบิดาจึงนำฟรังซิสไปฟ้องต่อพระสังฆราชเพื่อบังคับเขาพ้นจากการเป็นทายาทในมรดก ฟรังซิสโกจึงถอดเสื้อผ้าให้แก่บิดาและประกาศว่าต่อไปนี้ท่านจะมุ่งมันในการรับใช้พระเจ้า บิดาเที่ยงแท้ในสวรรค์เท่านั้น
หลังจากนั้นเขาแต่งกายด้วยผ้ากระสอบอย่างยากจนแต่ร่ำรวยไปด้วยการไว้วางใจในพระเจ้า เดินทางไปที่กุบบิโอเขาเริ่มงานแพร่ธรรมโดยในเวลากลางวันก็ทำงานพร้อมกับคนยากจน ในทุ่งนาและเวลาเย็นก็จะเก็บตัวสวดภาวนาอยู่ในถ้ำหรือโรงเก็บฟาง
หลายเดือนหลังจากนั้นท่านตัดสินใจเข้าสู่เมืองอัสซีซี เมื่อชาวเมืองเห็นเขาต่างเยาะเย้ยว่า คนบ้ามาแล้วแต่เขาไม่ใส่ใจกับการดูหมิ่นเหยียดหยามนั้นเขาเดินไปตามถนนประกาศให้ทุกคนรู้จัพระบิดาเจ้าสวรรค์และกระตุ้นให้มีความรักต่อเพื่อนพี่น้องตามแบบคริสตชน
ความคิดที่จะซ่อมวัดดามีอาโน ยังคงรบกวนจิตใจ เขาจึงลงมือทำงานโดยไปขอบริจาคหิน ปูน และวัสดุอื่น ๆ ที่จำเป็น เมื่อเสร็จงานที่วัดนักบุญดามีอาโน ท่านก็ได้ปรับปรุงวัดเล็ก ๆ อีกสองวัด ซึ่งได้ใช้เวลาถึง 3 ปี จึงสามารถซ่อมแซมวัดได้สำเร็จ
วันหนึ่งขณะที่กำลังฟังพระวรสารของนักบุญมัทธิว เรื่องการส่งอัครสาวกออกไปประกาศข่าวดี (มธ.10:9-10) เขาขอให้พระสงฆ์อธิบายความหมายของพระวาจาตอนนี้ให้ฟัง พอเขาเข้าใจชัดเจนว่า ศิษย์ของพระคริสต์ต้องไม่ครอบครอง เงินทองหรือทรัพย์สิน เขาจึงอุทานว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการและปรารถนาที่จะทำ” เขาจึงสละรองเท้าและไม่เท้า เหลือเพียงเสื้อคลุมและเชือกที่รัดเอาไว้เพียงเส้นเดียว เขาเริ่มประกาศให้ทุกคนใช้โทษบาป ด้วยภาษาซื่อๆ ง่ายๆ ที่ชนะใจคนฟัง โดยทุกครั้งจะเริ่มต้นด้วยคำว่า “ขอพระเจ้าทรงประทานสันติแก่พวกท่าน”
มีบางคนเริ่มประทับใจในชีวิตของเขา จึงได้ติดตามและดำเนินชีวิตแบบเขา เมื่อได้สมาชิก 8 คนแล้ว เขาได้นำภราดาเหล่านั้นให้ดำเนินชีวิตแบบซื่อ ๆ และเรียบง่าย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าในจิตตารมณ์แห่งความเชื่อและความปรารถนาอย่างเร้าร้อนที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เน้นการเป็นพยานยืนยันด้วยการประพฤติปฏิบัติมากกว่าคำพูด บรรดาภราดาจะทำมาหาเลี้ยงชีพของตนและในขณะเดียวกันก็พร้อมเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ทุกคน ท่านเรียกกลุ่มที่มาอาศัยอยู่กับท่านว่า “ภราดาน้อย” ต่อมาท่านได้ส่งสมาชิกของท่านออกไปประกาศข่าวดีเป็นคู่ ๆ และออกไปประกาศข่าวดีในประเทศต่างๆ มากมาย ในปี ค.ศ. 1218 พระสันตะปาปาโอโนริโอ ที่ 3 ได้รับรองพระวินัยของคณะของท่านอย่างเป็นทางการ
2 ปีก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ฟรังซิสได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสตเจ้าขณะที่ท่านภาวนาอยู่บนภูเขาแวร์นา เขาได้รับความเจ็บปวดมาก แต่ก็เปี่ยมด้วยความยินดี เขาปรารถนาจะร่วมในพระทรมานของพระองค์ ฟรังซิสได้รักษาตัวของท่านอยู่ที่ปอร์ซิอุนโคลา และยังคงเดินทางไปประกาศข่าวดียังเมืองต่างๆ และในหมู่บ้าน จนเมื่อไม่สามารถเดินทางด้วยเท้า เขาก็ขี่ลาไป จนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 1225 เขากลับไปอยู่อัสซีซี ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแบะการอักเสบอที่ดวงตาอย่างรุนแรงจนมองไม่เห็น ที่สุดต้องยอมรักษาดวงตาด้วยการผ่าตัดซึ่งก็ประสบความล้มเหลว ซึ่งต่อมาก็เกิดการเจ็บป่วยอื่น ๆ ของร่างกาย จนไม่สามารถรักษาได้ เขาได้ใช่ชีวิตช่วงสุดท้ายด้วยการสรรเสริญพระเจ้าและเชิญพี่น้องร่วมสรรเสริญพร้อมกับเขา และได้ถวายวิญญาณของท่านคืนแก่พระเจ้าในวันที่ 3 ตุลาคม 1226 มีอายุเพียง 44 ปี
นักบุญฟรังซิสเป็นบุคคลที่มีความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์เป็นอยากมาก ท่านเอาใจใส่ช่วยเหลือคนยากจนและบุคคลที่ถูกสังคมทอดทิ้งหรือรังเกียจ ซึ่งได้รับแรงบรรดาลใจจากหนังสือปฐมกาลที่บอกว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์พระองค์ทรงสร้างเขาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า” (ปฐก 1:27) และจากพระวรสารของนักบุญมัทธิวที่ว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’(มธ 25:40)